a. การฝึกพูดโดยใช้ทักษะการฟัง (AVT) คืออะไร?
การฝึกพูดโดยใช้การฟัง หรือ Auditory Verbal Therapy (AVT) คือวิธีการสอนเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินให้ “ฟัง” และ “พูด” โดยใช้การได้ยินที่ยังเหลืออยู่ร่วมกับการใช้อุปกรณ์การได้ยินได้แก่เครื่องช่วยฟัง อุปกรณ์เอฟ เอ็ม และประสาทหูเทียม การฝึกพูดโดยใช้ทักษะการฟังเน้นการพูดและการฟัง การฝึกพูดโดยใช้การฟังนั้นได้ถูกนำมาใช้ภายใต้ทฤษฎีการทำให้เด็กหูหนวก และเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน เรียนรู้ที่จะฟัง และ พูด เพื่อให้เด็กได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนปกติ และอยู่ในสังคมปกติได้
b.ออทิสซึ่มคืออะไร?
ออทิสซึ่ม คือความบกพร่องของการพัฒนาการที่ซับซ้อน พบการแสดงอาการในระยะสามขวบแรกของชีวิต ซึ่งส่งผลกระทบกับความสามารถในการสื่อสารและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น บุคคลที่มีภาวะออทิสซึ่มนั้นมีพฤติกรรมในรูปแบบต่างๆ ที่ระบุได้ว่ามี“ภาวะความบกพร่อง” โดยภาวะนั้น ส่งผลต่อบุคคลในแต่ละบุคคลแตกต่างกัน และมีความเข้มข้นหรือความรุนแรงในระดับที่แตกต่างกัน
การสังเกตอาการ : การวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรกเริ่มสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตเด็กได้
ออทิสซึ่มนั้นบำบัดได้ ผลของการวิจัยได้พิสูจน์ว่าการได้รับการวินิจฉัย และได้รับการกระตุ้นพัฒนาการในระยะแรกเริ่ม จะสามารถส่งเสริมให้เกิดผลลัพธ์ทางพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
อาการต่างๆ ในเด็กเล็กที่ควรสังเกต :
- มีภาษาพูดที่จำกัดหรือล่าช้า
- การใช้ภาษาที่ซ้ำๆและ/หรือมีพฤติกรรมการเคลื่อนไหวที่ซ้ำๆเช่นการตบมือซ้ำๆ การหมุนตัวซ้ำๆเป็นต้น
- หลีกเลี่ยงการสบตา หรือมีการสบตาน้อยมาก
- ไม่สนใจเล่นกับเพื่อน
- ไม่มีทักษะในการเล่นบทบาทสมมุติ
- การทำอะไรซ้ำๆไม่ยืดหยุ่น
ออทิสซึ่มสามารถเกิดในเด็กทั่วไปไม่มีข้อจำกัดทางสีผิวเชื้อชาติการดำเนินชีวิตการศึกษาหรือฐานะทางการเงิน อย่างไรก็ตามออทิสซึ่มนั้นสามารถบำบัดได้ การได้รับการวินิจฉัยและการได้รับการส่งเสริมทางด้านพัฒนาการที่เหมาะสมในระยะแรกเริ่มนั้นมีความสำคัญต่อความสำเร็จของการบำบัดดูแลรักษาและเป็นการสร้างพื้นฐานที่มั่นคงสำหรับความสำเร็จในอนาคตอีกด้วย
อะไรคือแอสเพอร์เกอร์ดิสออร์เดอร์? (Asperger Disorder)
- สิ่งที่ทำให้อาการความบกพร่องแบบแอสเพอร์เกอร์แตกต่างจากอาการความบกพร่องแบบออทิสซึ่มคือความรุนแรงของอาการและภาษาที่ไม่ล่าช้า เด็กๆที่อยู่ในกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์จะแสดงอาการน้อยมากและส่วนใหญ่จะมีภาษาและกระบวนการทางความคิดการเรียนรู้ที่ดีซึ่งในสายตาของผู้สังเกตการณ์ที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมหรือมีประสบการณ์จะมองว่าเด็กที่อยู่ในกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์จะดูเหมือนเด็กปกติทั่วไปเพียงแต่มีพฤติกรรมที่แตกต่างออกไปเท่านั้น
- บุคคลที่อยู่ในกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์โดยทั่วไปจะมีความต้องการที่จะอยู่ในสังคมได้อย่างปกติและอยากมีปฏิสัมพันธ์กับคนทั่วไป เพียงแต่ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไร บุคคลกลุ่มนี้จึงมักจะแสดงออกด้านสังคมด้วยวิธีการแปลกๆไม่เหมาะสม มักไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของสังคม ขาดความเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น บุคคลกลุ่มนี้อาจจะมีการสบตาแต่ไม่มาก มักจะขาดการมีส่วนร่วมในวงสนทนาและไม่เข้าใจเรื่องการแสดงสีหน้าท่าทาง
- เด็กที่อยู่ในกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์โดยปกติจะเป็นคนชอบสะสมของต่างๆชนิดเช่นก้อนหินหรือฝาขวด เด็กอาจมีความรู้ความเชี่ยวชาญในข้อมูลเช่นสถิติของคะแนนกีฬาฟุตบอลหรือชื่อในภาษาลาตินของดอกไม้ เนื่องจากมีทักษะทางความจำที่ดี ทว่าเด็กอาจทำความเข้าใจต่อสิ่งที่เป็นนามธรรมได้ยาก
- สิ่งหนึ่งที่เป็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างผู้ที่อยู่ในกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์ กับผู้ที่อยู่ในกลุ่มอาการออทิสซึ่มคือ เด็กในกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์จะไม่มีความล่าช้าด้านภาษา อันที่จริงเด็กที่อยู่ในกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์ส่วนใหญ่จะมีทักษะทางภาษาที่ดี แต่เด็กอาจจะใช้ภาษาในลักษณะที่แตกต่างออกไป ลักษณะการพูดอาจไม่ปกติ ขาดการปรับเสียงสูง-ต่ำ หรือทำนองตามธรรมชาติ หรืออาจใช้ภาษาที่เป็นทางการ แต่พูดเสียงดังเกินไปหรือสูงเกินไป เด็กที่อยู่ในกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์อาจจะไม่เข้าใจการพลิกแพลงของภาษาเช่นถ้อยคำประชดประชันกับถ้อยคำที่ล้อเล่น ดังนั้นเด็กจะไม่เข้าใจภาษาที่ใช้ในการตอบโต้ทีเล่นทีจริงของการสนทนาที่เป็นไปอย่างธรรมชาติ
- ปัญหาความยากลำบากการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ อาจจะไม่ใช่ข้อบ่งชี้หลักสำหรับเด็กที่มีอาการแอสเพอร์เกอร์ แต่โดยส่วนใหญ่มักจะพบความล่าช้าและความบกพร่องในการเคลื่อนไหวของเด็กในกลุ่มอาการแอสเพอร์เกอร์
ข้อมูลข้างต้นได้ถูกนำมาจากข้อมูลของ the Autism Society of America.ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ the Autism Society of America สามารถหาเพิ่มเติมได้จาก www.autism-society.org หรือโทร 1-800-3AUTISM .© Copyright 1996-2008, Autism Society of America.
c. อะไรคือสาเหตุของออทิสซึ่ม?
ณ เวลานี้ ยังไม่มีใครทราบสาเหตุของภาวะออทิสซึ่ม มีทฤษฎีมากมายที่อธิบายถึงแนวโน้มของสาเหตุการเกิดภาวะออทิสซึ่ม แต่ยังไม่มีงานวิจัยใดสามารถระบุชี้ชัดได้
งานวิจัยระบุว่าหากเด็กได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่แรกเริ่มเมื่อยังอายุน้อยเท่าใด ก็จะยิ่งเป็นผลดีต่อเด็กมากเท่านั้น เนื่องจากความสำเร็จในการกระตุ้นพัฒนาการจะยิ่งเป็นไปได้สูง หากได้รับการวินิจฉัยแล้ว ครอบครัวสามารถหาแนวทางในการบำบัดรักษาให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสม และจำเป็นแก่เด็กโดยเร็ว
เมื่อมองอย่างผิวเผิน ผู้ที่อยู่ในภาวะออทิสซึ่มอาจดูเหมือนผู้ที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ผู้ที่มีความบกพร่องทางพฤติกรรม ผู้ที่มีปัญหาการได้ยิน หรือแม้แต่ผู้ที่มีพฤติกรรมแปลกๆ แตกต่างกันอย่างหลากหลาย อย่างไรก็ดี การที่จะแบ่งแยกภาวะอาการออทิสซึ่มจากอาการอื่นๆ ได้นั้นคือสิ่งสำคัญ เนื่องจากการวินิจฉัยที่แม่นยำและการบ่งชี้อาการตั้งแต่แรกเริ่มนั้นสามารถมอบพื้นฐานในการสร้างโปรแกรมการศึกษาและการบำบัดรักษาที่เหมาะสม
ศูนย์เพื่อเด็กพิเศษแสงเหนือมอบบริการการประเมินพัฒนาการโดยใช้ทีมนักวิชาการ ครูและผู้บำบัดเข้าร่วมสังเกตพฤติกรรมเป็นรายบุคคล ตลอดจนการรวบรวมข้อมูลทางการพัฒนาการ การรักษาและประวัติครอบครัว โดยนักวิชาการ เพื่อให้ครูและนักบำบัดจะสามารถตัดสินและนำเสนอแนวทางการช่วยเหลือ การฟื้นฟู และการบำบัดรักษา
ท่านสามารถติดต่อเพื่อขอนัดเพื่อรับการประเมินพัฒนาการได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 084-728-3492
d. ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับออทิสซึ่ม* (*ข้อมูลจาก CDC สหรัฐอเมริกาในปี 2021)
• อัตรา 1 ต่อ 1,000 ของจำนวนเด็กที่เกิดมานั้นเป็นเด็กหูหนวก หรือมีความบกพร่องทางการได้ยิน และ อัตรา 3 ใน 1,000 ของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินนั้นจะสูญเสียการได้ยินตลอดชีวิตภายในอายุ 5 ปี
• แม้ว่าโดยปกติเด็กจะเริ่มพูดคำแรกได้เมื่ออายุ 12 เดือน แต่ที่จริงแล้วเด็กจะเริ่มมีพัฒนาการทางการพูดและภาษาตั้งแต่แรกเกิด
• ท่านทราบหรือไม่ว่า95% ของเด็กที่เกิดมาหูหนวกนั้นมีพ่อและแม่เป็นคนหูปกติ และไม่มีประวัติหูหนวกในครอบครัว
• เมื่อตรวจพบแต่แรกเริ่มว่าเด็กทารกนั้นมีความบกพร่องทางการได้ยิน และเด็กผู้นั้นได้รับการบำบัดรักษาโดยเร็วแล้ว เขาจะมีพัฒนาการที่รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
e. ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยิน)
• อัตรา 1 ต่อ 1,000 ของจำนวนเด็กที่เกิดมานั้นเป็นเด็กหูหนวก หรือมีความบกพร่องทางการได้ยิน และ อัตรา 3 ใน 1,000 ของเด็กที่มีความบกพร่องทางการได้ยินนั้นจะสูญเสียการได้ยินตลอดชีวิตภายในอายุ 5 ปี
• แม้ว่าโดยปกติเด็กจะเริ่มพูดคำแรกได้เมื่ออายุ 12 เดือน แต่ที่จริงแล้วเด็กจะเริ่มมีพัฒนาการทางการพูดและภาษาตั้งแต่แรกเกิด
• ท่านทราบหรือไม่ว่า95% ของเด็กที่เกิดมาหูหนวกนั้นมีพ่อและแม่เป็นคนหูปกติ และไม่มีประวัติหูหนวกในครอบครัว
• เมื่อตรวจพบแต่แรกเริ่มว่าเด็กทารกนั้นมีความบกพร่องทางการได้ยิน และเด็กผู้นั้นได้รับการบำบัดรักษาโดยเร็วแล้ว เขาจะมีพัฒนาการที่รวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ